หลายท่านอาจจะเข้าใจว่าการแบ่งช่วงชีวิตของผลิตภัณฑ์แต่ละรุ่นเป็นเหตุผลทางการตลาดล้วนๆ ที่ผู้ผลิตต้องการจะผลักดันสินค้ารุ่นใหม่ จึงผลักให้รุ่นเดิมตกรุ่นไป ซึ่งที่จริงแล้วมีเหตุผลนอกเหนือจากนั้นที่ทำให้มีการออกผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่และเกิดการแบ่งช่วงชีวิตของผลิตภัณฑ์
1. Active phase คือช่วงชีวิตของผลิตภัณฑ์รุ่นล่าสุด มีเทคโนโลยีทันสมัยที่สุด รวมถึงการวิจัย พัฒนา และปรับปรุงผลิตภัณฑ์ยังเกิดขึ้นตลอด ตรงกับนิยามคำว่า "เกิด" ช่วงอายุนี้ผลิตภัณฑ์จะสามารถหาอะไหล่ และการบริการจากเจ้าของผลิตภัณฑ์ได้ในทุกรูปแบบช่วงชีวิตของผลิตภัณฑ์ในช่วงนี้เทียบได้กับเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบ Cloud ที่ตอบโจทย์ทั้งความสะดวกในการเข้าถึงและปริมาณความจุที่มากขึ้น
2. Classic phase คือช่วงชีวิตของผลิตภัณฑ์ที่เพิ่งจะถูกขยับออกจากการทำตลาด เทียบได้กับเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบ Memory stick เพราะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ทันสมัยเข้ามาทดแทน เทียบเคียงกันคนในช่วงวัยเกษียณ ช่วงอายุนี้ผลิตภัณฑ์จะยังคงสามารถหาอะไหล่และการบริการจากเจ้าของผลิตภัณฑ์ได้ในทุกรูปแบบ การพัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ยังคงมีอยู่ในช่วงชีวิตของผลิตภัณฑ์นี้ แต่ทางผู้ผลิตจะไม่จำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ในแบบทั้งตัว(จำหน่ายเฉพาะอะไหล่เท่านั้น)
3. Limited phase คือช่วงชีวิตของผลิตภัณฑ์ถัดมาต่อจาก Classic เป็นช่วงที่ผลิตภัณฑ์ถูกหยุดการพัฒนาและปรับปรุง ผู้ผลิตยังคงทำการจัดหาอะไหล่เพื่อสนับสนุนการซ่อมบำรุงตราบเท่าที่ยังหาวัสดุมาผลิตอะไหล่ได้ หรืออะไหล่ยังคงมีในคลังของผู้ผลิต การบริการถูกจำกัดให้ทำได้ในบางบริการเท่านั้น เฟสของผลิตภัณฑ์ช่วงนี้เทียบเท่าคนมีอายุมากที่ป่วย รักษาไปตามอาการที่เกิดเทียบได้กับเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบของ CD ซึ่งปัจจุบันไม่ตอบโจทย์ทั้งขนาด ความจุ และความสะดวกในการใช้งานอีกต่อไปแล้ว
4. Obsoleted phase คือช่วงชีวิตสุดท้ายของผลิตภัณฑ์ เทียบเท่ากับคนที่หมดอายุไข ไม่มีอะไหล่และการบริการใดๆ สนับสนุนจากผู้ผลิต ผลิตภัณฑ์ในช่วงนี้ก็จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตกยุคไป ล้าสมัยเทียบได้กับเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบของ Floppy Disk ซึ่งปัจจุบันแทบจะไม่มีผู้ใช้งานอีกต่อไป
ต้นทุนวัสดุในการผลิตที่สูงขึ้นจากความต้องการที่น้อยลง เมื่อมีการคิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง ความต้องการในวัตถุดิบใหม่ๆ ของโลกมีเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการวัตถุดิบเดิมของโลกลดลง ราคาวัตถุดิบสูงขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตโดยตรง ซึ่งทำให้ราคาที่จะขายในท้องตลาดสูงขึ้นเรื่อยๆ และอาจมากจนไม่สมเหตุสมผลสวนทางกับเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์ที่มีแต่ล้าหลังไปเรื่อยๆ
หากจะเห็นภาพให้ชัดให้นึกถึงแผ่น Floppy disk ขนาด 1.35 นิ้ว ซึ่งจุข้อมูลได้เพียง 1.44 MB และ Memory stick ขนาด 16 GB ซึ่งถ้าเทียบความจุแล้วต่างกันหมื่นเท่า ด้วยราคาปัจจุบันที่ใกล้เคียงกันและหาซื้อได้ง่ายกว่ามาก แบบไหนจะสมเหตุสมผลที่จะซื้อหามาใช้ ผู้ผลิตจึงต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมาทดแทนเพื่อให้สอดคล้องกับสถาณการณ์วัตถุดิบ
ในมุมของผู้ผลิต การแบ่งช่วงชีวิตของผลิตภัณฑ์เป็นแนวทางการวางแผนพัฒนาและปรับปรุงที่ชัดเจน ว่าผลิตภัณฑ์กลุ่มไหนควรพัฒนาต่อ กลุ่มไหนควรหยุดพัฒนา ผลิตภัณฑ์ที่ล้าสมัยมากๆ หากพัฒนาต่อไปด้วยวิธีการและวัตถุดิบดั้งเดิมจะทำให้พบกับจุดอิ่มตัวคือไม่สามารถก้าวข้ามหรือทะลุข้อจำกัดบางอย่างได้
หากเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์กับช่วงชีวิตมนุษยจะเห็นได้ว่าระยะเวลาในแต่ละช่วงชีวิตนั้นไม่เท่ากัน
- Active คือ ช่วงที่เราเกิดไปจนถึงวัยกลางคน
- Classic คือ ช่วงที่เราเข้าสู่วัยเกษียณอายุ
- Limited คือ ช่วงวัยชราภาพ เจ็บป่วยบ่อย
- Obsoleted คือ ช่วงหมดอายุไข ไม่สามารถกู้คืน หรือซ่อมแซมส่วนสึกหรอได้แล้ว
จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นได้ว่า Active จะเป็นช่วงชีวิตที่ยาวนานที่สุดของผลิตภัณฑ์
ความท้าทายอีกอย่างหนึ่งของผู้ผลิตเมื่อต้องออกแบบผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ออกมานั้นก็คือจะต้องบรรจุความสามารถและข้อดีของผลิตภัณฑ์รุ่นเดิมมาให้ครบถ้วน เพื่อให้ผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่นี้สามารถทดแทนรุ่นเก่าได้อย่างสมบูรณ์ ครอบคลุมทั้งประเด็นทางกลและทางเทคนิค
ตัวอย่างช่วงชีวิตของผลิตภัณฑ์อินเวอร์เตอร์กระแสสลับเพื่อการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าแรงดันต่ำใน series ของ Industrial
- Active phase: ACS880
- Classic phase : ACS800
- Limited phase : ACS600
- Obsoleted phase : SAMI star และ ACV700
ACS800 เป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งที่มีฐานการติดตั้งจำนวนมาก นอกจากเรื่องข้อโดดเด่นของผลิตภัณฑ์เองแล้ว ส่วนหนึ่งก็มาจากการมีช่วง Active ที่ยาวนานมากถึง 14 ปี
ข้อมูลเพิ่มเติม