ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มมีการเติมโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตามจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้ผู้ผลิตอาหารสามารถมองเห็นภาพกลยุทธ์ในอนาคต จึงได้มีการกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้งานได้จริงสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
ความโปร่งใสเป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มต้องมั่นใจ ว่ากระบวนการผลิตของตนเองสามารถตอบสนองต่อความพึงพอใจของผู้บริโภค เป็นไปตามกฎระเบียบ และความต้องการของซัพพลายเออร์ ซึ่งอาจหมายถึงการประเมินด้านการใช้พลังงาน การตรวจสอบกระบวนการบรรจุภัณฑ์ หรือการตรวจสอบช่องทางการจัดจำหน่าย
Big Data: กุญแจสำคัญเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในอุตสาหกรรมอาหาร
AI สามารถช่วยผู้ผลิตในการตรวจสอบกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความรับผิดชอบและความโปร่งใสให้ให้ครอบคลุมทั่วทั้งระบบ ยกตัวอย่างเช่น โรงเบียร์ Deschutes Brewery ในรัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ผสมผสานระบบอัตโนมัติที่มีความซับซ้อนเข้ากับ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการหมักให้มีความเหมาะสม วิธีการนี้ช่วยประหยัดเวลาในการผลิตเบียร์โดยเฉลี่ยลง 48 ชั่วโมง รวมถึงสามารถประมวลผลข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ และปรับผลลัพธ์เพื่อรองรับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย ซึ่ง การประหยัดพลังงานมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อความคุ้มค่า และก่อให้เกิดผลดีอย่างชัดเจนและประเมินได้ต่อโลกของเรา
โอกาสของบล็อคเชน
แนวคิดบล็อคเชนแสดงถึงความโปร่งใสรูปแบบใหม่ เมื่อข้อมูลต่างๆ ถูกเก็บไว้ในบล็อกแล้ว ข้อมูลเหล่านี้จะไม่สามารถเปลี่ยนรูป แก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือถูกแฮ็กได้ นอกจากนี้ บล็อกเชนยังสามารถใช้เพื่อตรวจสอบคุณภาพอาหารในกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน ทำให้สามารถติดตามและกำจัดล็อตการผลิตที่มีการปนเปื้อนได้ อย่างรวดเร็ว
การติดฉลากอัจฉริยะ
ความโปร่งใสมีบทบาทสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานในขั้นสุดท้ายเป็นอย่างมาก ฉลากอัจฉริยะทำให้ผู้บริโภคสามารถใช้สมาร์ทโฟนของตนเองในการสแกนบาร์โค้ด เพื่อตรวจสอบข้อมูลด้านสุขภาพและโภชนาการได้อย่างสะดวกง่ายดาย นอกจากนี้ การติดฉลากที่มีความชัดเจนยังมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคอ้วนที่มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลกในปัจจุบัน
รัฐบาลของหลายประเทศเริ่มตระหนักถึงภาวะฉุกเฉินด้านภูมิอากาศที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ทำให้เกิด การเปลี่ยนแปลงจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นแหล่งพลังงาน โดยหันมาใช้พลังงานไฟฟ้า ซึ่งกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจที่ต้องการลดการปล่อย CO2 เนื่องจากเป็นพลังงานหมุนเวียนที่มีราคาไม่แพง สามารถเข้าถึงได้ และมีความเป็นไปได้สำหรับทุกคน หลายบริษัทกำลังพยายามรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยความมุ่งมั่น เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ตัวอย่างเช่น การใช้มอเตอร์เป็นตัวขับเคลื่อนการดำเนินงานในอุตสาหกรรมทั้งหมด ประมาณร้อยละ 70 ซึ่งการเปลี่ยนไปใช้แบบปรับความเร็วได้ (บางครั้งเรียกว่า ความถี่ผันแปร) หรือการนำเทคโนโลยีมาใช้อาจส่งผลให้สามารถประหยัดพลังงานได้มากขึ้น เพิ่มผลผลิต และง่ายต่อการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงานของรัฐบาล
ห่วงโซ่อุปทานที่สะอาดและยั่งยืน
การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งสอดคล้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อม และจุดยืนทางธุรกิจของตนเอง โดยสามารถเริ่มได้จากการผลิตขั้นต้น
การแก้ปัญหาในแต่ละขั้นตอน
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า กลุ่มผู้บริโภคอย่างมีสติ คือผู้บริโภคที่ตระหนักถึงการซื้ออย่างมีจริยธรรมกำลังมีบทบาทมากขึ้น ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มทั่วโลกทราบดีว่ากำลังถูกจับตามองอย่างจริงจัง และหลายบริษัทหันมาใช้มาตรการเชิงรุก เพื่อป้องกันการถูกวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะกระแสลดการใช้พลาสติกในกลุ่มผู้บริโภคที่สร้าง ความประหลาดใจเป็นอย่างมาก เป็นผลทำให้ร้านค้าปลีกหลายแห่ง เริ่มทดลองและปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอสินค้า เพื่อลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก รวมถึงการเติบโตของบริการจัดส่งสินค้าถึงบ้านทั้งจากร้านค้าปลีกและร้านอาหาร ความต้องการจำนวนยานพาหนะจึงเพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถส่งมอบสินค้าตามความต้องการ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่าในช่วงเดือนกันยายน
จากการวิเคราะห์ พบว่า ผู้บริโภคที่ชอบการผจญภัย หรือชอบทดลองสิ่งใหม่ๆ มีความสำคัญใกล้เคียงกับ การเติบโตของกลุ่มผู้บริโภคอย่างมี
ความต้องการเฉพาะบุคคล
วัฒนธรรมดิจิทัลเป็นกระบอกเสียงของผู้บริโภคอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บริโภคยังแสดง ความต้องการในผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะบุคคลไม่ว่าจะแบบไหนก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเสริมประสาทสัมผัส บรรเทาความเครียด และส่งเสริมความทรงจำ จากเทรนด์อาหารเฉพาะบุคคล ทำให้ผู้ผลิตต้องเพิ่มความคล่องตัวเพื่อให้ก้าวทันการผลิตรูปแบบใหม่ ซึ่งทั้งหมดนี้จำเป็นต้องทำให้เกิดขึ้นจริงโดยไม่กระทบต่อคุณภาพหรือความปลอดภัย จึงเป็นเหตุผลว่ากระบวนการอัตโนมัติที่มีความคล่องตัว มีความสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางเศรษฐกิจที่ เร่งรีบและนำเทรนด์
ความสอดคล้องด้านคุณภาพ ราคา และความสะดวกสบายได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากผู้บริโภคต้องการคุณสมบัติทั้งหมดนี้โดยไม่มีข้อยกเว้น ดังนั้น การซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ หรืออีคอมเมิร์ซ จึงตอบโจทย์ และเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีฟังก์ชันการทำงานตลอดเวลา สามารถจัดส่งถึงบ้าน และมีตัวเลือกหลากหลายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในร้านค้าปลีกเพียงร้านเดียว
ความท้าทายในการส่งมอบสินค้า
ความสะดวกสบายของระบบการจัดส่งแบบออนไลน์ ทำให้เกิดกระแสความนิยมในการทำอาหารเองที่บ้าน หรือการรับประทานอาหารที่บ้าน นอกจากนี้ ทางเลือกในการซื้ออาหารกลับบ้านผ่านทางออนไลน์หลากหลายช่องทาง ยังได้รับส่วนแบ่งของค่าใช้จ่ายด้านอาหาร และรายได้หลังหักภาษีเพิ่มขึ้น ในการตอบสนองต่อความท้าทายนี้ ผู้ผลิตจึงต้องสร้างรูปแบบการดำเนินงานผ่านทางออนไลน์โดยตรงถึงผู้บริโภค หรือ Direct to Consumer อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับธุรกิจแบบเดิมที่เคยทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับตัวกลางหรือร้านค้าปลีกทั่วโลก
ความสะดวกสบายแบบไม่มีข้อจำกัด
ความคาดหวังของผู้บริโภคในปัจจุบันสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งสัมพันธ์กับกระแสการเปลี่ยนแปลง หรือ เมกะเทรนด์อย่างชัดเจน ความต้องการในการผลิตอาหารอย่างมีจริยธรรมและมนุษยธรรม สอดคล้องกับ ความต้องการด้านราคาสินค้าที่ต่ำ กระบวนการที่ยั่งยืน ค่าครองชีพ อาหารเพื่อสุขภาพ และการเป็นพลเมือง ที่ดี การตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ซับซ้อนนั้น ต้องหาแนวทางในด้านการผลิต บรรจุภัณฑ์ การจัดจำหน่าย และการขายปลีกอย่างครอบคลุม
อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มกำลังพิสูจน์ให้เห็นถึงความสร้างสรรค์ในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่กำลังดำเนินไปอย่างไม่รู้จบ และความต้องการความสะดวกสบายโดยไม่มีข้อยกเว้น หากผู้ผลิตยังคงแสวงหาแนวทางเชิงนวัตกรรมอย่างมุ่งมั่น ย่อมส่งผลให้อนาคตข้างหน้าสดใสอย่างแน่นอน
